IV Drip และ IV Therapy

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดริปวิตามิน

Share This :

ดริปวิตามิน หรือการฉีดวิตามินเข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือด เป็นเทรนด์สุขภาพและความงามที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีที่รวดเร็วในการเสริมสารอาหารและบำรุงร่างกาย แต่ถึงแม้ว่าการทำดริปวิตามินจะมีข้อดีหลายประการ ก็ยังมี ผลข้างเคียง ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งผู้สนใจควรรู้และเข้าใจก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ

1. การแพ้สารในวิตามินที่ดริป

การแพ้สารในวิตามินที่ดริป (IV vitamin therapy) เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างหรือหลังจากการรับบริการการให้วิตามินทางหลอดเลือดดำ การใช้วิตามินและสารอาหารในรูปแบบดริปได้รับความนิยมในการเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็วหรือบำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้วิตามินในรูปแบบนี้ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ในบางกรณี อาการแพ้จากการดริปวิตามินสามารถมีหลายระดับ ตั้งแต่ อาการผื่นแดงและคัน บริเวณที่ได้รับการฉีดหรือทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อยและไม่รุนแรงเท่าไหร่ แต่ก็สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับการรักษารู้สึกไม่สบายตัว และอาจทำให้เกิดการหยุดใช้การดริปในบางกรณี ถ้าอาการแพ้ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจพัฒนาเป็นอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น การหายใจลำบาก หรือ อาการบวมที่ใบหน้าและลำคอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะอาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)

2. ระคายเคืองบริเวณที่ฉีด

หลังการดริปวิตามิน อาจเกิดอาการระคายเคืองบริเวณที่สอดเข็ม เช่น อาการปวด บวม แดง หรือช้ำ บริเวณผิวหนังรอบจุดฉีด ซึ่งมักเกิดจากความไวของผิวหนังหรือเทคนิคที่ไม่เหมาะสมในการสอดเข็ม แม้ว่าอาการระคายเคืองเหล่านี้จะเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักจะหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากอาการยังคงอยู่หรือมีอาการรุนแรง เช่น มีอาการบวมมาก หรือมีการเปลี่ยนสีผิวที่ไม่ปกติ ควร ปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและตรวจสอบอาการอย่างละเอียด อาจมีความจำเป็นต้องปรับวิธีการฉีดหรือให้การรักษาเพิ่มเติมเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อ

3. ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุลในร่างกาย

การดริปวิตามินที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในปริมาณมาก อาจทำให้เกิด ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเดิม เช่น โรคไต หรือโรคหัวใจ ภาวะดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือหัวใจเต้นผิดปกติได้

4. การติดเชื้อ

การดริปวิตามินเกี่ยวข้องกับการใช้เข็มเจาะผ่านผิวหนังเข้าสู่หลอดเลือด หากอุปกรณ์ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม หรือหากสถานที่ที่ให้บริการไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะ การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอาการร้ายแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตได้

5. ภาวะวิตามินเกิน

การได้รับวิตามินบางชนิดในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น

  • วิตามินซีในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต
  • วิตามินบี 6 เกินขนาด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท เช่น อาการชา หรือปวดแปลบในปลายมือปลายเท้า

6. ภาวะหลอดเลือดอักเสบ

การฉีดสารเข้าสู่หลอดเลือดบ่อยครั้ง หรือการใช้เข็มฉีดยาในลักษณะที่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิด หลอดเลือดอักเสบ ได้ อาการที่พบได้คือ บวมแดงหรือปวดบริเวณหลอดเลือดที่ทำการดริป หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันตามมาได้

7. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและไต

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือโรคไต การดริปวิตามินที่มีปริมาณสารน้ำหรือแร่ธาตุสูง อาจเพิ่มภาระให้กับระบบหัวใจและไต ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำหรือหัวใจล้มเหลวได้ ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพเหล่านี้จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ

8. อาการเวียนศีรษะหรือหน้ามืด

บางคนอาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรืออ่อนเพลียในระหว่างหรือหลังการดริปวิตามิน โดยเฉพาะหากปริมาณของเหลวที่ดริปเข้าสู่ร่างกายมีมากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราว แต่หากรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ทันที

9. การไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง

ถึงแม้ว่าการดริปวิตามินจะช่วยเสริมสารอาหารให้ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แต่ในบางกรณี ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินขั้นรุนแรง หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ อาจไม่ได้รับผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง การดริปวิตามินจึงควรเป็นเพียงตัวช่วยเสริม ไม่ใช่การรักษาโรคหรือทดแทนการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน

คำแนะนำในการลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง

  1. เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน   การเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีใบอนุญาตและมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้รับบริการมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพการรักษา การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงจากการทำศัลยกรรมหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมต่าง ๆ ที่อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
  2. ปรึกษาแพทย์ก่อนทำ  การเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีใบอนุญาตและมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้รับบริการมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพการรักษา การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงจากการทำศัลยกรรมหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมต่าง ๆ ที่อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
  3. ตรวจสอบส่วนผสมของวิตามิน หรือสารเสริมต่าง ๆ ที่ใช้เป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เนื่องจากบางครั้งเราอาจไม่ทราบว่าในวิตามินหรืออาหารเสริมที่เราใช้มีส่วนผสมบางอย่างที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือในบางกรณีอาจมีการได้รับสารบางชนิดในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การตรวจสอบฉลากและส่วนผสมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
  4. สังเกตอาการหลังทำ เป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการผิดปกติหรือไม่สบาย เช่น บวมแดง, ปวดแผลมากเกินไป, หรือมีอาการอื่น ๆ ที่น่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์ทันที การรับมือกับอาการเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
  5. ดูแลสุขภาพโดยรวม  ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและมีความพร้อมในการรับมือกับการรักษาหรือการเสริมความงามที่ต้องการทำ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังการรักษา และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

สรุป

แม้ว่าการดริปวิตามินจะเป็นวิธีที่สะดวกและมีประโยชน์ในการเสริมสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น ระคายเคืองผิวหนัง ไปจนถึงอาการรุนแรง เช่น การแพ้หรือการติดเชื้อ ดังนั้น การทำดริปวิตามินควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอBottom of Form